อาหารเสริม ต่างที่ได้รับความนิยมวางขายอยู่ในท้องตลาด คุณผู้ชายพอจะรู้ไหมว่า สาร อาหารเสริม ตัวไหนที่ช่วยบำรุงสุขภาพคุณผู้ชายให้หล่อ ดูดี หน้าใสไร้ริ้วร้อย เรามาดูกัน
1. Acetyl L-Carnitine
Acetyl L-Carnitine เป็น แอลคานิทีน ที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะมีความบริสุทธิ์สูง ร่างกายสามารถดูดซึม แอลคานิทีน ประเภทนี้ได้ดี โดยปกติจะพบในเนื้อสัตว์ชนิดสีแดงมากกว่าสีขาว สาร อาหารเสริม ตัวนี้จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าประเภทอื่น คุณผู้ชายที่ออกกำลังกายฟิตกล้ามเนื้อ จึงควรบริโภคอาหารที่มีสาร Acetyl L-Carnitine เป็นประจำ เพราะนอกจากจะช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานแล้ว แอลคาร์นิทีน ยังช่วยเพิ่มพละกำลังและเสริมสมรรถภาพความทนทานของกล้ามเนื้อต่อการออกกำลัง กาย
1. Acetyl L-Carnitine
Acetyl L-Carnitine เป็น แอลคานิทีน ที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะมีความบริสุทธิ์สูง ร่างกายสามารถดูดซึม แอลคานิทีน ประเภทนี้ได้ดี โดยปกติจะพบในเนื้อสัตว์ชนิดสีแดงมากกว่าสีขาว สาร อาหารเสริม ตัวนี้จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าประเภทอื่น คุณผู้ชายที่ออกกำลังกายฟิตกล้ามเนื้อ จึงควรบริโภคอาหารที่มีสาร Acetyl L-Carnitine เป็นประจำ เพราะนอกจากจะช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานแล้ว แอลคาร์นิทีน ยังช่วยเพิ่มพละกำลังและเสริมสมรรถภาพความทนทานของกล้ามเนื้อต่อการออกกำลัง กาย
2. Vitamin D
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ร่างกายของเราต้องการเพื่อรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและกระดูก นอกจากร่างกายจะได้ วิตามินดี จากแสงแดดแล้ว ยังได้รับจากอาหารทั้งพืชและสัตว์ ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา นม เนย ไข่แดง ปลาทู ปลาแซลมอน และปลาซาดีน เราควรบริโภค วิตามินดี ให้อยู่ปริมาณที่พอเหมาะไม่น้อยหรือมากจนเกินไป ผู้ใหญ่อายุ 20 - 29 ปี ควรบริโภค 7.5 ไมโครกรัม อายุ 30 - 60 ปี (หรือมากว่า) ควรบริโภค 5 ไมโครกรัม ปริมาณวิตามินดีที่ได้รับจะเชื่อมโยงกับระดับการขึ้นลงของภาวะซึมเศร้า วิตามินดี ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลดอัตราเสี่ยงของอาการหัวใจวาย
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ร่างกายของเราต้องการเพื่อรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและกระดูก นอกจากร่างกายจะได้ วิตามินดี จากแสงแดดแล้ว ยังได้รับจากอาหารทั้งพืชและสัตว์ ที่พบมากได้แก่ น้ำมันตับปลา นม เนย ไข่แดง ปลาทู ปลาแซลมอน และปลาซาดีน เราควรบริโภค วิตามินดี ให้อยู่ปริมาณที่พอเหมาะไม่น้อยหรือมากจนเกินไป ผู้ใหญ่อายุ 20 - 29 ปี ควรบริโภค 7.5 ไมโครกรัม อายุ 30 - 60 ปี (หรือมากว่า) ควรบริโภค 5 ไมโครกรัม ปริมาณวิตามินดีที่ได้รับจะเชื่อมโยงกับระดับการขึ้นลงของภาวะซึมเศร้า วิตามินดี ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลดอัตราเสี่ยงของอาการหัวใจวาย
3. Coenzyme Q-10
โคเอ็นไซม์คิวเท็น เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติ มีบทบาทสำคัญในการเป็นสารต้านอนุมุลอิสระ โคเอ็นไซม์คิวเท็น ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูง และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ ลดปัญหาสีผิวหมองคล้ำ คุณชายท่านไหนอยากลดปัญหาสุขภาพและอยากมีสุขภาพผิวที่ดี ก็ควรรับประทานอาหารประเภท น้ำมันปลา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ รำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง บรอคคอลี่ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน เป็นต้น
โคเอ็นไซม์คิวเท็น เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองโดยธรรมชาติ มีบทบาทสำคัญในการเป็นสารต้านอนุมุลอิสระ โคเอ็นไซม์คิวเท็น ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูง และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ ลดปัญหาสีผิวหมองคล้ำ คุณชายท่านไหนอยากลดปัญหาสุขภาพและอยากมีสุขภาพผิวที่ดี ก็ควรรับประทานอาหารประเภท น้ำมันปลา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ รำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง บรอคคอลี่ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน เป็นต้น
4. Fish Oil
น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหางปลาทะเล เช่น ปลาแซมมอล ปลาทู ปลาแมคคอเรล ปลาซาร์ดีน และปลาเฮอร์ริ่ง ใน น้ำมันปลา จะมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว อยู่ 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า 3 คือ EPA และ DHA ประโยชน์ของการรับประทาน น้ำมันปลา คือ จะช่วยลดระดับไขมันในเลือด และช่วยลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น แต่ถ้าบริโภคในระดับสูงมากเกินไป อาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลง ดังนั้นก่อนจะซื้อ น้ำมันปลา มารับประทาน ควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย
น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อ หนัง หัว และหางปลาทะเล เช่น ปลาแซมมอล ปลาทู ปลาแมคคอเรล ปลาซาร์ดีน และปลาเฮอร์ริ่ง ใน น้ำมันปลา จะมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว อยู่ 2 ชนิด ในกลุ่มโอเมก้า 3 คือ EPA และ DHA ประโยชน์ของการรับประทาน น้ำมันปลา คือ จะช่วยลดระดับไขมันในเลือด และช่วยลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น แต่ถ้าบริโภคในระดับสูงมากเกินไป อาจทำให้ระดับวิตามินอีในร่างกายลดลง ดังนั้นก่อนจะซื้อ น้ำมันปลา มารับประทาน ควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย
5. Lycopene
ไลโคปีน เป็นแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่พบมากในมะเขือเทศ เป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด และมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จากการวิจัยพบว่า ไลโคปีน ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก การได้รับไลโคปีนในปริมาณสูงยังช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตัน ในเส้นเลือด และช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
ไลโคปีน เป็นแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่พบมากในมะเขือเทศ เป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด และมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จากการวิจัยพบว่า ไลโคปีน ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก การได้รับไลโคปีนในปริมาณสูงยังช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตัน ในเส้นเลือด และช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
6. Glucosamine
กลู
โคซามีน คือ
สารประกอบน้ำตาลกลูโคสและกรดอะมิโนกลูตามีนที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง
แต่จะลดต่ำลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
กลูโคซามีนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเสริมสร้างและซ่อมแซมมวลกระดูกอ่อนและน้ำ
ในไขข้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดบวมในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม สำหรับคุณหนุ่มๆ
ที่ออกกำลังกายเล่นฟิตเนส
กลูโคซามีนจะช่วยให้กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อมีความแข็งแรงทนทานและทนต่อ
แรงกระแทกจากการออกกำลังกายหรืเล่นกีฬาได้มากขึ้น
ถ้ารับประทานในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำให้ทานในขนาดวันละ 1500
มล.
7. Magnesium
แมกนีเซียม เป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย ในแต่ละวันเราอาจได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่ปรุงสุกแล้วส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุนี้อยู่น้อยมาก จึงทำให้ แมกนีเซียม ถูกบรรจุอยู่ในรูปของอาหารเสริมวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับปริมาณ แมกนีเซียม ที่เพียงพอ คุณควรรับประทานแมกนีเซียมวันละ 300 มก. และทานควบคู่กับแคลเซียม หากปริมาณสารอาหารสองอย่างนี้ไม่สมดุลกัน อาจทำให้เกิดการซึมเศร้าได้ นอกจากนี้การลดลงของปริมาณ แมกนีเซียม เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน และทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ
แมกนีเซียม เป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย ในแต่ละวันเราอาจได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่ปรุงสุกแล้วส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุนี้อยู่น้อยมาก จึงทำให้ แมกนีเซียม ถูกบรรจุอยู่ในรูปของอาหารเสริมวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับปริมาณ แมกนีเซียม ที่เพียงพอ คุณควรรับประทานแมกนีเซียมวันละ 300 มก. และทานควบคู่กับแคลเซียม หากปริมาณสารอาหารสองอย่างนี้ไม่สมดุลกัน อาจทำให้เกิดการซึมเศร้าได้ นอกจากนี้การลดลงของปริมาณ แมกนีเซียม เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน และทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น