- โรคเศร้าจาก Facebook ว่ากันว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนเล่น Facebook มากที่สุดในโลกหรือราว 12 ล้านคน ส่วนทั้งประเทศมีผู้ใช้ Facebook ทั้งหมด 18 ล้านคน คิดเป็น 27% ของประชากรทั่วประเทศ จัดอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ Facebook เป็น
เครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่
สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี เมื่อต้นปีที่ พบว่า 1 ใน 3
ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ Facebook
มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน
ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข
ฉะนั้นใครกำลังเริ่มหดหู่ เศร้า ควรออกห่างจากเฟซบุ๊กด่วน
- ละเมอแชท (Sleep - Texting) ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้ Smartphone อีก
เช่นกัน และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนหรือป่วน
แม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว เราสามารถเรียกโรคนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่ การศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep
- Texting
เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้า
ขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา
ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับ
ไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง
และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ
ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า
และอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือการทำงานด้วย ด้วยเหตุนี้ หากจะเล่น Line Facebook หรือ
Wechat ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ ปิดเสียง
หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G ไปเลยก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่
- โรควุ้นในตาเสื่อม สำหรับบางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง และบางคนก็จ้องแท็บเล็ต Smartphone ไม่
วางตาจากการทำงาน ดังนั้น การเล่นอินเตอร์เน็ต แชท หรือเล่นเกมส์
อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้
จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน
โดยโรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป ทั้งๆ
ที่สมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน
มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย
อาการสำคัญคือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่
ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆ เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น
ท้องฟ้าขาวๆ ผนังห้องขาวๆ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา
และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด
- โนโมโฟเบีย (Nomophobia)
เป็นโรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร
รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้
Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia"
ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช
เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติอาการโดยทั่วไปที่สามารถเช็กได้
ง่ายๆ ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล
ตัวสั่น หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ
หรือแบตเตอรีหมด นอกจากนี้ ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน หรือแทปเลต
ขึ้นมาเช็กอยู่ตลอดเวลา
ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ
ว่างไม่ได้ สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น
ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ใน
ปัจจุบัน จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่า มีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน
จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
ในคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชนจะติดมือถือ และชอบเล่น Line หรือ Facebook และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา ไม่เช่นนั้นโรคอื่นๆ จะตามมาอีกเพียบ
- Smartphone face เขากำลังก้มหน้าก้มตามอง Smartphone หรือไม่ก็ Tablet จน ตาแทบไม่กระพริบ นอกจากบรรดาสารพัดโรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว เรายังมีชื่อโรคที่ไม่คุ้นหูเพิ่มมาอีกหนึ่ง นั่นคือ สมาร์ทโฟนเฟซ หรือ โรคใบหน้าสมาร์ทโฟน แต่คงไม่ใช่หน้าที่มีลักษณะยาวๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่ Smartphone หรือ Tablet มาก จนเกินไป เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกราม เกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น