แสงแดด และอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน มีผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนังของเรา ทั้งปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวแดง ผิวไหม้ ไปจนถึงปัญหาใหญ่อย่างมะเร็งผิวหนัง การหลีกเลี่ยงและป้องกัน แสงแดด และแสงยูวีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ในปัจจุบัน นอกจากการมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและป้องกันแดดต่างๆ มาให้เลือกใช้กันแล้ว ยังมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันได้ว่า การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายต่อต้านกับ แสงแดด ได้ดียิ่งขึ้น และช่วยป้องกันผิวไหม้จาก แสงแดด ได้ โดยเฉพาะอาหารที่มี เบต้าแคโรทีน สูง
อาหารที่มี เบต้าแคโรทีน สูง พบในผักใบเขียว แครอท พริก หรือพริกหยวกสีแดง ผลไม้สีเหลืองอย่างมะม่วง แตงโม โดยจะให้ประสิทธิภาพดีหากมีการรับประทานอาหารที่มี เบต้าแคโรทีน สูงเหล่านี้ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป
ส่วนสาร ไลโคปีน (lycopene) ก็เป็นสารอีกตัวหนึ่งในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นสารต้านมะเร็งแล้ว หากรับประทานต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป ก็จะเห็นผลดีในการช่วยป้องกันผิวไหม้จาก แสงแดด ซึ่งสาร ไลโคปีน นี้พบมากใน มะเขือเทศ และฟักข้าว
มะเขือเทศ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามิเอ วิตามินเค วิตามินพี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีสารจำพวก ไลโคปีน(lycopene) แคโรทีนอยด์ (carotenoid) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และกรดอะมิโน เป็นต้น
มะเขือเทศ มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรัยแห่งวัย มีการศึกษาพบว่าการรับประทานซอสมะเขือเทศวันละ 48 – 55 กรัม หรือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ หรือรับประทานน้ำมะเขือเทศวันละ 250 ซีซี ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป จะช่วยเพิ่มปริมาณสารแคโรทีนอยด์ในผิวหนัง และอาการแดงของผิวหนังหลังจากโดน แสงแดด จะน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่รับประทานซอสมะเขือเทศถึง 33% นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มที่รับประทานมะเขือเทศ แสงแดด จะทำลายโมเลกุลของ DNA ในผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน และมีการสร้าง procollagen มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน
ส่วนฟักข้าวนั้น เป็นผลไม้ที่อุดมด้วย ไลโคปีน ซึ่งมีปริมาณสูงกว่า มะเขือเทศ ถึง 12 เท่า และมีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ เช่น เบต้า-แคโรทีน มากกว่าแครอท 10 เท่า มีวิตามินซี มากกว่าส้ม 40 เท่า มีซีแซนทีน มากกว่าข้าวโพด 40 เท่า อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินเอ กรดไขมันโอเมก้า-3, โอเมก้า-6 และโอเมก้า-9 มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยในการชะลอวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ป้องกันปัญหาผิวแห้งกร้าน ช่วยปกป้องผิวจาก แสงแดด
นอกจากนี้ ในฟักข้าว ยังมี ไลโคปีน ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า ไลโปแคโรทีน (Lipocarotene) ซึ่งเป็นกรดไขมันสายยาวที่ช่วยดักจับและดูดซึมแคโรทีน ฟักข้าวจึงจัดเป็นแหล่งของ ไลโคปีน ที่ดีที่สุด
สำหรับการรับประทาน มะเขือเทศ หรือฟักข้าวนั้น แนะนำให้รับประทาน มะเขือเทศ หรือฟักข้าวที่ผ่านความร้อน ซึ่งจะมีปริมาณ ไลโคปีน สูงกว่าในผลสด เนื่องจากความร้อนจะทำให้เซลล์ มะเขือเทศ หรือฟักข้าวแตก ส่วนการบดก็จะยิ่งทำให้ ไลโคปีน ออกมานอกเซลล์ได้มากขึ้น และสาร ไลโคปีน ในธรรมชาติเมื่อถูกความร้อนร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความร้อนที่ใช้ปรุงจะต้องไม่สูงมาก และไม่ให้ความร้อนเป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้ ไลโคปีน สลายไปนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีผักผลไม้อื่นๆ ที่อุดมไปด้วย ไลโคปีน เช่น แตงโม 1 ชิ้น (286 กรัม) มี ไลโคปีน 12,962 ไมโครกรัม, มะละกอ 1 ผล (304 กรัม) มี ไลโคปีน 5,557 ไมโครกรัม, มะม่วง 1 ผล (207 กรัม) มี ไลโคปีน 6 ไมโครกรัม และในแครอท 1 ผล (72 กรัม) มีปริมาณ ไลโคปีน 1 ไมโครกรัม
อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงของการที่ผิวหนังถูกทำลายจากความร้อนของ แสงแดด การทาครีมกันแดดยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการป้องกัน แสงแดด ให้ดีที่สุดควบคู่ไปกับการปฏิบัติตัว คือ หลีกเลี่ยง แสงแดด โดยเฉพาะช่วง 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรง หรือสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน แสงแดด หากมีความจำเป็นต้องออกแดด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น